ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ก็ยังเล็กกว่าโลง
ลมร้อนๆในทะเลทรายพัดเอาทรายเม็ดเล็กๆที่วางตัวอยู่เหมือนระลอกคลื่นบนพื้นทรายฟุ้งกระจายไปในอากาศ ทำให้ท้องฟ้าที่เมื่อครู่ที่ผ่านมายังเป็นสีฟ้าสดมืดมัวไปด้วยเม็ดทราย ต้นไม้ที่ยืนแห้งตายอยู่อย่างโดดเดี่ยวสั่นไหว กลุ่มชายที่เดินฝ่าลมแรงมาต้องสะบัดเอาผ้าโพกศีรษะลงมาปิดตาและจมูกกันทราย แต่ดูเหมือนชายกลุ่มนี้ยังไม่มีที่ท่าว่าจะ ย่อท้อรีรอต่อการเดินฝ่าพายุทรายไปข้างหน้า ก้าวย่างทุกก้าวที่ลงน้ำหนักลงไปบนผื่นทรายยังมั่นคงหนักแน่น เป็นจังหวะจะโคนและพร้อมเพรียงกัน ชายรูปร่างกำยำในชุดเครื่องแบบทหารมาซีโดเนีย ถือธงโบกสะบัดนำหน้าขบวนเรียงรายแถวละห้าคน สิบแถว ถัดมาเป็นทหารกองเกียรติยศแต่งชุดเครื่องแบบทหารสีสดใสอาวุธครบมือมี ตามมาด้วยทหารหกคนแบกคานไม้ด้านหน้า และอีกหกคนแบกคานด้านท้าย รวมเป็นสิบสองคนแบกหีบขนาดใหญ่เดินตามกันมาเป็นแถว ทั้งตัวคานไม้และ หีบสลักเสลาด้วยลายลงยาและมณีหลากสีอันงดงาม หีบอันสวยงามประดับอัญมณีมีค่าอย่างวิจิตรบรรจงนี้ มีทหารแบกมา ๔ หีบ ฝาหีบนั้นเปิดอ้าออกเปิดให้เห็นว่าเป็นหีบใส่อัญมณี เพชรทองของมีค่าต่างๆ อยู่เต็มหีบ ถัดจากแถวทหารมีสตรีงามสี่คนเดินตามอยู่ข้างหีบ หยิบของมีค่าที่บรรจุอยู่ในหีบนั้นโปรยปรายลงบนทะเลทรายที่ขบวนกำลังก้าวผ่านไป สิ่งที่โปรยปรายลงบนผื่นทรายนั้นเป็นเพชร ทอง อัญมณี รัตนชาติหลากหลายชนิด ถัดจากสตรีงามสี่คนเป็นนักบวชในชุดขาว ๒ คนเดินมาคู่กันทั้งสองเหยียบย่ำลงไปใน เพชรและทองคำที่สตรี ๔ คนที่เดินนำไปเบื้องหน้านั้น จนเพชรเม็ดงามหลายเม็ดจมทรายลงไปอย่างไร้ค่า ซึ่งนักบวชทั้งคู่ต่างก็มิได้ก้มลงเหลือบแลมอง สองมือยังชูผ้าแพรเปอร์เซียอย่างดีที่รองรับของสองสิ่งขึ้นเทิดอยู่เหนือหัว บนหัวที่นักบวชคนหนึ่งนั้นเป็นดาบสั้นแสดงถึงพลังอำนาจ ส่วนนักบวชอีกคนหนึ่งชูหีบทองใส่หนังสือ แสดงถึงความทรงภูมิในศาสตร์สาขาต่างๆ
ขบวนที่บรรยายให้เห็นพอจะเรียกได้แล้วว่าเป็น ขบวนประหลาด แต่ที่ประหลาดใจกว่านั้นคือแถวต่อจากนักบวช ๒ คน เป็นกลุ่มชายวัยกลางคน ๒๐ คน บางคนอ้วน บางคนผอม บางคนสูง บางคนเตี้ย แต่งชุดที่บ่งบอกว่าเป็นหมอในราชสำนัก ทุกคนหน้าตาบ่งบอกถึงความอิดโรยจากการที่ต้อง เดินแบกโลงศพหินแกะสลักที่มีน้ำหนักมากมาเป็นระยะทางไกลกลางทะเลทราย โลงศพที่แบกอยู่บนบ่านั้นถูกเจาะเป็นช่องเล็กๆ มีมือขาวซีดของร่างที่อยู่ในโลงนั้นยื่นออกมา แกว่งไกวอยู่ไปมาตามจังหวะการเดินของผู้แบกทั้งยี่สิบ ใครกันคือศพอยู่ในนั้น และ พวกเขากำลังแบกหีบศพไป ณ.ที่แห่งใด สองคำถามนี้มีคำตอบให้ได้คำตอบเดียว ส่วนอีกคำถามหนึ่งคือ พวกเขากำลังเดินทางไป ณ.ที่แห่งใด คำถามนี้ยังคงเป็นปริศนาที่ไม่มีใครตอบได้มา มีคำตอบให้ได้ข้อเดียวว่า ผู้ที่เป็นพระบรมศพอยู่ในโลงนั้นก็คือ กษัตริย์ อเล็กซานเดอร์ มหาราช จอมจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ไม่เคยมีอาณาจักรไหนยิ่งใหญ่เท่าอาณาจักรของพระองค์อีกแล้ว ในสมัยของพระองค์อาณาจักรใหญ่ๆของโลกล้วนอยู่ภายไต้การปกครองของพระองค์ทั้งหมด เรียกว่าเป็นกษัตริย์องค์แรกและองค์เดียวที่รวบรวมโลกเข้าไว้ในอาณาจักรของพระองค์ได้ โดยใช้เวลาเพียงสิบห้าปีเท่านั้น ในวัยสามสิบสามถ้าเป็นยุคปัจจุบันก็เรียกได้ว่าอยู่ในวัยฉกรรจ์ แต่ด้วยการตรากตรำออกศึกรบมาตลอดเวลา ทำให้ร่างกายกรำศึกของอเล็กซานเดอร์ทรุดโทรม และ มาป่วยสิ้นพระชนม์ชีพที่ นครบาบิโลน ก่อนสิ้นพระชนม์ อเล็กซานเดอร์มหาราชเขียนพินัยกรรมไว้สามข้อดังนี้คือ
๑.ในงานศพของให้หมอที่ร่วมกันรักษาพระองค์ทุกๆคนเป็นผู้แบกโลง
๒.ตลอดเส้นทางขอให้นำทรัพย์สินของพระองค์ทั้งหมดที่มี โปรยไประหว่างทาง
๓.ในโลงใส่พระศพขอให้เจาะช่องพอมือลอดได้ไว้ แล้วให้มือของพระองค์ลอดออกมาจากโลงให้เห็นโดยทั่วกัน
อเล็กซานเดอร์ นอกจากเป็นนักรบที่ไร้พ่ายแล้ว ยังเป็นนักปราชญ์ ที่ทรงภูมิอย่างยิ่งอีกสมกับเป็นศิษย์เอกของอริสโตเติล พินัยกรรมสามข้อที่ทิ้งไว้บอกความหมายของชีวิตได้อย่างชัดเจน ชนิดที่ว่าถึงกาลเวลาจะผ่านมาสองพันกว่าปีแล้ว สิ่งที่พระองค์บอกไว้เป็นนัยๆนั้น ยังชัดเจน เป็นจริง ไม่ล้าสมัยไปตามวันเวลาที่ล่วงเลยมาสักนิด
มือของพระบรมศพที่โผล่ออกมานอกโลง ต้องการจะบอกว่าต่อให้พระองค์ยิ่งใหญ่ถึงขนาดเป็นเจ้าผู้ครองโลกแต่เพียงผู้เดียว เวลาตายก็เอาอะไรไปไม่ได้ ต้องจากไปในสภาพมือเปล่า ทรัพย์สมบัตรที่มีมากมายมหาศาลที่เหนื่อยยากแสวงหามาพอตายไปแล้วก็กลายเป็นสิ่งไร้ค่า นำมาโปรยปรายกลิ้งเกลือกลงกับดินทราย ถึงแม้ในช่วงเวลาที่แสวงหาทรัพย์สมบัตินั้นมา รายทางมีแต่ซากศพ โลหิตและน้ำตา ของผู้คนมากมายมหาศาล สำหรับปริศนาข้อสุดท้ายที่อเล็กซานเดอร์ทิ้งไว้ ก็คืออยากให้ทุกคนตระหนักถึงการดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี อเล็กซานเดอร์ใช้ร่างกายจนเกินกว่าร่างกายที่จะทนทานไหว ต่อให้มีทีมแพทย์ที่ดีที่สุดในโลกถึงยี่สิบคน ดูแลรักษาก็ไม่สามารถยื้อชีวิตของอเล็กซานเดอร์เอาไว้ได้ อเล็กซานเดอร์สวรรคตไปในขณะที่ตัวเองยังครองอำนาจสูงสุดอยู่ และ เหล่าทหารที่ยังกุมอำนาจอยู่ในกองทัพก็ล้วนแต่เป็น เพื่อนตายร่วมรบกันมาทั้งสิ้น จึงเชื่อว่าพินัยกรรมของอเล็กซานเดอร์จะได้รับการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ส่วนปริศนาอีกข้อหนึ่งที่สงสัยกันมาจนถึงปัจจุบันว่า สุสานอเล็กซานเดอร์นั้นอยู่ที่ไหน คาดว่าจะตั้งอยู่ที่ใดที่หนึ่งระหว่างเส้นทางทาง จากกรุงบาบิโลน ปัจจุบันอยู่ในประเทศอีรัก ไป อเล็กซานเดรีย ปัจจุบันอยู่ในประเทศอียิปต์ สิ่งที่ทำให้สุสานของอเล็กซานเดอร์คงเป็นความลับอยู่จนถึงปัจจุบันคงเป็นเพราะเป็นกระบวนการรักษาความลับที่นิยมทำกันมาแต่โบราณคือ คนที่เกี่ยวข้องต้องตายทั้งหมด ผู้คนในขบวนพระศพคงถูกทหารที่เดินทางไปด้วยสังหารจนหมดสิ้น และทหารที่เหลือก็สังหารกันเองเช่นกัน เพื่อให้อเล็กซานเดอร์ กษัตริย์แห่งโลกเพียงพระองค์เดียว ได้คงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ไว้ อยู่ในโลงชั่วนิจนิรันดร์ .