Skip to content

ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ก็ยังเล็กกว่าโลง

  • by

ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ก็ยังเล็กกว่าโลง


ลมร้อนๆในทะเลทรายพัดเอาทรายเม็ดเล็กๆที่วางตัวอยู่เหมือนระลอกคลื่นบนพื้นทรายฟุ้งกระจายไปในอากาศ  ทำให้ท้องฟ้าที่เมื่อครู่ที่ผ่านมายังเป็นสีฟ้าสดมืดมัวไปด้วยเม็ดทราย  ต้นไม้ที่ยืนแห้งตายอยู่อย่างโดดเดี่ยวสั่นไหว  กลุ่มชายที่เดินฝ่าลมแรงมาต้องสะบัดเอาผ้าโพกศีรษะลงมาปิดตาและจมูกกันทราย  แต่ดูเหมือนชายกลุ่มนี้ยังไม่มีที่ท่าว่าจะ  ย่อท้อรีรอต่อการเดินฝ่าพายุทรายไปข้างหน้า  ก้าวย่างทุกก้าวที่ลงน้ำหนักลงไปบนผื่นทรายยังมั่นคงหนักแน่น  เป็นจังหวะจะโคนและพร้อมเพรียงกัน  ชายรูปร่างกำยำในชุดเครื่องแบบทหารมาซีโดเนีย  ถือธงโบกสะบัดนำหน้าขบวนเรียงรายแถวละห้าคน สิบแถว  ถัดมาเป็นทหารกองเกียรติยศแต่งชุดเครื่องแบบทหารสีสดใสอาวุธครบมือมี  ตามมาด้วยทหารหกคนแบกคานไม้ด้านหน้า และอีกหกคนแบกคานด้านท้าย  รวมเป็นสิบสองคนแบกหีบขนาดใหญ่เดินตามกันมาเป็นแถว    ทั้งตัวคานไม้และ  หีบสลักเสลาด้วยลายลงยาและมณีหลากสีอันงดงาม  หีบอันสวยงามประดับอัญมณีมีค่าอย่างวิจิตรบรรจงนี้  มีทหารแบกมา  ๔ หีบ  ฝาหีบนั้นเปิดอ้าออกเปิดให้เห็นว่าเป็นหีบใส่อัญมณี เพชรทองของมีค่าต่างๆ  อยู่เต็มหีบ  ถัดจากแถวทหารมีสตรีงามสี่คนเดินตามอยู่ข้างหีบ  หยิบของมีค่าที่บรรจุอยู่ในหีบนั้นโปรยปรายลงบนทะเลทรายที่ขบวนกำลังก้าวผ่านไป   สิ่งที่โปรยปรายลงบนผื่นทรายนั้นเป็นเพชร ทอง อัญมณี รัตนชาติหลากหลายชนิด  ถัดจากสตรีงามสี่คนเป็นนักบวชในชุดขาว  ๒ คนเดินมาคู่กันทั้งสองเหยียบย่ำลงไปใน  เพชรและทองคำที่สตรี ๔ คนที่เดินนำไปเบื้องหน้านั้น  จนเพชรเม็ดงามหลายเม็ดจมทรายลงไปอย่างไร้ค่า  ซึ่งนักบวชทั้งคู่ต่างก็มิได้ก้มลงเหลือบแลมอง  สองมือยังชูผ้าแพรเปอร์เซียอย่างดีที่รองรับของสองสิ่งขึ้นเทิดอยู่เหนือหัว  บนหัวที่นักบวชคนหนึ่งนั้นเป็นดาบสั้นแสดงถึงพลังอำนาจ  ส่วนนักบวชอีกคนหนึ่งชูหีบทองใส่หนังสือ แสดงถึงความทรงภูมิในศาสตร์สาขาต่างๆ

ขบวนที่บรรยายให้เห็นพอจะเรียกได้แล้วว่าเป็น  ขบวนประหลาด   แต่ที่ประหลาดใจกว่านั้นคือแถวต่อจากนักบวช ๒ คน  เป็นกลุ่มชายวัยกลางคน ๒๐ คน  บางคนอ้วน บางคนผอม บางคนสูง บางคนเตี้ย  แต่งชุดที่บ่งบอกว่าเป็นหมอในราชสำนัก  ทุกคนหน้าตาบ่งบอกถึงความอิดโรยจากการที่ต้อง  เดินแบกโลงศพหินแกะสลักที่มีน้ำหนักมากมาเป็นระยะทางไกลกลางทะเลทราย    โลงศพที่แบกอยู่บนบ่านั้นถูกเจาะเป็นช่องเล็กๆ  มีมือขาวซีดของร่างที่อยู่ในโลงนั้นยื่นออกมา  แกว่งไกวอยู่ไปมาตามจังหวะการเดินของผู้แบกทั้งยี่สิบ  ใครกันคือศพอยู่ในนั้น และ พวกเขากำลังแบกหีบศพไป ณ.ที่แห่งใด   สองคำถามนี้มีคำตอบให้ได้คำตอบเดียว  ส่วนอีกคำถามหนึ่งคือ พวกเขากำลังเดินทางไป ณ.ที่แห่งใด  คำถามนี้ยังคงเป็นปริศนาที่ไม่มีใครตอบได้มา  มีคำตอบให้ได้ข้อเดียวว่า  ผู้ที่เป็นพระบรมศพอยู่ในโลงนั้นก็คือ กษัตริย์ อเล็กซานเดอร์ มหาราช  จอมจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก  ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต  ไม่เคยมีอาณาจักรไหนยิ่งใหญ่เท่าอาณาจักรของพระองค์อีกแล้ว  ในสมัยของพระองค์อาณาจักรใหญ่ๆของโลกล้วนอยู่ภายไต้การปกครองของพระองค์ทั้งหมด  เรียกว่าเป็นกษัตริย์องค์แรกและองค์เดียวที่รวบรวมโลกเข้าไว้ในอาณาจักรของพระองค์ได้  โดยใช้เวลาเพียงสิบห้าปีเท่านั้น  ในวัยสามสิบสามถ้าเป็นยุคปัจจุบันก็เรียกได้ว่าอยู่ในวัยฉกรรจ์ แต่ด้วยการตรากตรำออกศึกรบมาตลอดเวลา ทำให้ร่างกายกรำศึกของอเล็กซานเดอร์ทรุดโทรม และ มาป่วยสิ้นพระชนม์ชีพที่ นครบาบิโลน  ก่อนสิ้นพระชนม์  อเล็กซานเดอร์มหาราชเขียนพินัยกรรมไว้สามข้อดังนี้คือ

๑.ในงานศพของให้หมอที่ร่วมกันรักษาพระองค์ทุกๆคนเป็นผู้แบกโลง

๒.ตลอดเส้นทางขอให้นำทรัพย์สินของพระองค์ทั้งหมดที่มี  โปรยไประหว่างทาง

๓.ในโลงใส่พระศพขอให้เจาะช่องพอมือลอดได้ไว้  แล้วให้มือของพระองค์ลอดออกมาจากโลงให้เห็นโดยทั่วกัน

อเล็กซานเดอร์  นอกจากเป็นนักรบที่ไร้พ่ายแล้ว  ยังเป็นนักปราชญ์  ที่ทรงภูมิอย่างยิ่งอีกสมกับเป็นศิษย์เอกของอริสโตเติล พินัยกรรมสามข้อที่ทิ้งไว้บอกความหมายของชีวิตได้อย่างชัดเจน ชนิดที่ว่าถึงกาลเวลาจะผ่านมาสองพันกว่าปีแล้ว  สิ่งที่พระองค์บอกไว้เป็นนัยๆนั้น  ยังชัดเจน เป็นจริง ไม่ล้าสมัยไปตามวันเวลาที่ล่วงเลยมาสักนิด

มือของพระบรมศพที่โผล่ออกมานอกโลง  ต้องการจะบอกว่าต่อให้พระองค์ยิ่งใหญ่ถึงขนาดเป็นเจ้าผู้ครองโลกแต่เพียงผู้เดียว  เวลาตายก็เอาอะไรไปไม่ได้ ต้องจากไปในสภาพมือเปล่า  ทรัพย์สมบัตรที่มีมากมายมหาศาลที่เหนื่อยยากแสวงหามาพอตายไปแล้วก็กลายเป็นสิ่งไร้ค่า  นำมาโปรยปรายกลิ้งเกลือกลงกับดินทราย  ถึงแม้ในช่วงเวลาที่แสวงหาทรัพย์สมบัตินั้นมา  รายทางมีแต่ซากศพ  โลหิตและน้ำตา  ของผู้คนมากมายมหาศาล  สำหรับปริศนาข้อสุดท้ายที่อเล็กซานเดอร์ทิ้งไว้  ก็คืออยากให้ทุกคนตระหนักถึงการดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี  อเล็กซานเดอร์ใช้ร่างกายจนเกินกว่าร่างกายที่จะทนทานไหว  ต่อให้มีทีมแพทย์ที่ดีที่สุดในโลกถึงยี่สิบคน  ดูแลรักษาก็ไม่สามารถยื้อชีวิตของอเล็กซานเดอร์เอาไว้ได้  อเล็กซานเดอร์สวรรคตไปในขณะที่ตัวเองยังครองอำนาจสูงสุดอยู่ และ เหล่าทหารที่ยังกุมอำนาจอยู่ในกองทัพก็ล้วนแต่เป็น  เพื่อนตายร่วมรบกันมาทั้งสิ้น  จึงเชื่อว่าพินัยกรรมของอเล็กซานเดอร์จะได้รับการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด  ส่วนปริศนาอีกข้อหนึ่งที่สงสัยกันมาจนถึงปัจจุบันว่า สุสานอเล็กซานเดอร์นั้นอยู่ที่ไหน คาดว่าจะตั้งอยู่ที่ใดที่หนึ่งระหว่างเส้นทางทาง จากกรุงบาบิโลน ปัจจุบันอยู่ในประเทศอีรัก ไป อเล็กซานเดรีย ปัจจุบันอยู่ในประเทศอียิปต์  สิ่งที่ทำให้สุสานของอเล็กซานเดอร์คงเป็นความลับอยู่จนถึงปัจจุบันคงเป็นเพราะเป็นกระบวนการรักษาความลับที่นิยมทำกันมาแต่โบราณคือ  คนที่เกี่ยวข้องต้องตายทั้งหมด  ผู้คนในขบวนพระศพคงถูกทหารที่เดินทางไปด้วยสังหารจนหมดสิ้น  และทหารที่เหลือก็สังหารกันเองเช่นกัน  เพื่อให้อเล็กซานเดอร์  กษัตริย์แห่งโลกเพียงพระองค์เดียว  ได้คงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ไว้ อยู่ในโลงชั่วนิจนิรันดร์ .

Leave a Reply