Skip to content

ดอนกีโยเต้และพ่อมดแห่งอ๊อซ

  • by

มีหนังสือสองเล่มที่ขึ้นหิ้งบูชาเป็นหนังสือคลาสสิคของโลกไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสำนักไหนจัดอันดับก็ตามผมมั่นใจว่าสองเล่มนี้ มีที่ยืนอยู่ในตำแหน่งยอดหนังสือนวนิยาย ๑๐ เล่มแรกของโลกนี้แน่นอน เล่มหนึ่งคือ ดอน กีโยเต้ อัศวินแห่งลามันช่าร์ (Don Quixote) กับอีกเล่มหนึ่ง คือพ่อมดมหัศจรรย์แห่งอ๊อซ (The Wonderful Wizard of Oz.) ใครเป็นนักอ่านคงไม่พลาดที่จะผ่านตาหนังสือ ๒ เล่มนี้มาบ้าง การจัดลำดับเล่มแรกไม่ว่าโพล์ไหน อันดับที่หนึ่งคือ ดอนกีโยเต้ เหมือนกันทุกสำนักเป็นเอกฉันท์ ส่วนพ่อมดแห่งอ๊อซ มีสูงมีต่ำแตกต่างกันไปบ้างสำหรับคนที่ไม่ใช่นักอ่าน ก็อาจจะเคยรู้จักเคยทักทายกับตัวละครต่างๆในหนังสือทั้งสองเล่มนี้มาบ้างในโอกาสต่างๆกันมากกว่าหนึ่งครั้ง แต่อาจจะยังไม่รู้จักแบบสนิทสนมรู้ที่มาที่ไปในแบบวันนี้ เพราะหนังสือทั้งสองเล่มนี้ได้รับการเผยแพร่ต่อๆมาใน หลายๆรูปแบบ ทั้งในแบบภาพยนตร์ ในแบบการ์ตูน หรือละครเวที หลากหลายรูปแบบ รูปแบบละหลายๆครั้ง

ถ้ายังนึกกันไม่ออกขอเคาะความจำกันหน่อย โดโรธีก็คือเด็กสาวตัวเล็กนุ่งกระโปรงบานที่หลงเข้าไปในแดนมหัศจรรย์ พร้อมๆกับเพื่อนร่วมทางประหลาดๆอีกสามตัว ตัวที่แรกเป็นหุ่นไล่กา ตัวที่สองเป็นหุ่นกระป๋องคนตัดไม้ และ ตัวสุดท้ายเป็นสิงโตที่ขี้ขลาดตาขาว ทั้งสี่บังเอิญต้องมาเดินทางร่วมกันด้วยเป้าหมายที่แตกต่างกัน โดโรธีอยากจะกลับบ้านหลังจากโดนพายุพัดลอยมาอยู่ในดินแดนที่ไม่รู้จัก หุ่นไล่กาอยากได้สมองเพราะตัวเองเป็นแค่ฟางข้าวที่มามัดรวมกัน หุ่นยนต์อยากได้หัวใจเพราะตัวเป็นหุ่นยนต์ไม่มีหัวใจ เจ้าสิงโตเป็นเพื่อนร่วมทางที่มาร่วมทางตัวท้ายที่สุด และเป็นตัวที่วันนี้อยากจะกล่าวถึงมากที่สุด สิงโตตัวนี้มันเจอกับคณะของโดโรธี ระหว่างทาง มันจ้องจะกินสุนัขของโดโรธี เลยโดนโดโรธีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆตบหน้าเอา มันเลยบ่อน้ำตาแตกร้องไห้เผยธาตุแท้ออกมาว่าแท้จริงแล้วมันเป็นแค่สิงโตที่ขี้ขลาดกลัวไปหมดทุกเรื่อง มันจึงขอติดตามคณะของโดโรธีไปหาพ่อมดแห่งอ๊อซด้วย เพื่อให้พ่อมดเนรมิตให้มันกลับมากล้าหาญเหมือนสิงโตตัวอื่นๆ ด้วยความปรารถนาหลายประการที่แตกต่างกัน มอบความหวังไว้ให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าจะศักสิทธิ์จริงไหม แต่ทุกคนไม่มีความหวังอื่นใดอีกแล้วนอกจากการเดินทางไปพบพ่อมด ให้ดลบันดาลให้ ระหว่างทางที่เดินทางไปขอความช่วยเหลือจากพ่อมด คณะของโดโรธีต้องเผชิญกับปัญหาอุปสรรคมากมาย ซึ่งปัญหาและอุปสรรคทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยการร่วมมือร่วมใจของสี่สหาย ด้วยสติปัญญาของเจ้าหุ่นไล่กา ด้วยความมีจิตใจที่ดีงามของเจ้าหุ่นกระป๋อง และ ด้วยความกล้าหาญเมื่อต้องเผชิญกับปัญหาเฉพาะหน้าของเจ้าสิงโต คณะเดินทางก็ได้ฝ่าฟันอุปสรรคผ่านพ้นมาได้ จนได้เข้ามาพบกับพ่อมดแห่งอ๊อซ จึงได้รู้ว่าจริงๆแล้วพ่อมดแห่งอ๊อซเป็นแค่คนแคระตัวเล็กๆที่หลอกลวงคนอื่นว่าเป็นพ่อมด ไม่มีพลังอำนาจ ไม่มีอะไรเลยที่จะช่วยให้ความมุ่งหวังของแต่ละคนสำเร็จ แม้จะผิดหวังอย่างแรง แต่ก็ทำทำให้แต่ละคนได้สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดมาแทน นั้นก็คือได้พบกับศักยภาพของตัวเอง ได้รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองแสวงหานั้นมีอยู่กับตัวเองอยู่แล้ว ติดอยู่เพียงแต่ตัวเองไม่มีความมั่นใจพอที่จะหยิบออกมาใช้เท่านั้น 

ส่วนตัวละครอีกตัวเป็นพระเอกค่อนข้างจะสูงอายุคือ ๔๐๐ กว่าปี ตามอายุของหนังสือที่เขียนมานานแล้ว ส่วนอายุจริงในหนังสือของคุณลุงคนนี้ในหนังสือก็คือ ๕๗ ปีอาศัยอยู่ในแคว้นลามันช่า ประเทศสเปน ให้นึกภาพของคุณลุงอายุขนาดนั้น รูปร่างผอมแห้งแรงน้อยขี่ม้าแกลบผอมกะหร่องขาเป๋ไปข้างหนึ่ง สวมชุดเกราะอัศวินบุบบิบบู่บี้ ขี้ม้ากระโจนเข้าต่อสู้กับกังหันโรงสี ที่แกนึกว่าเป็นยักษ์สี่กร เพื่อปราบปรามเหล่าอธรรมและอสูรร้าย ชนิดไม่เห็นแก่สังขารตัวเอง คุณลุงนักปราบอธรรมคนนี้แกมีชื่อว่า “ดอน กีโยเต้” ที่เอามาเป็นชื่อของหนังสือด้วยคงจะนึกกันออกลางๆบ้างแล้วใช่ไหมครับ คุณลุงมีพื้นเพดั่งเดิมเป็นขุนนางเล็กๆที่ถูกปลดระวาง จึงใช้เวลาว่างไปกับการอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องอัศวินโบราณที่ออกเที่ยวปราบปราม ขุนนางชั่วโจรร้าย และสัตว์ประหลาด ในใจคุณลุงคงมีความคิดติดค้างอยู่หลายเรื่องในสมัยที่แกยังเป็นขุนนางหางแถวอยู่ ยังอยากสร้างคุณงามความดีในแผ่นดินแต่ติดตรงที่ตัวเองเป็น แค่ข้าราชการระดับ ซีหนึ่ง ไม่มีพลังอำนาจจะไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรในสังคมที่เต็มไปด้วยความอยุติธรรม เอารัดเอาเปรียบกันได้ คุณลุงจึงสถาปนาตัวเองเป็น ดอน กีโยเต้ แห่งลามันช่า คุณลุงอัศวินรุ่นใหญ่พร้อมด้วยซานโช่ ผู้ติดตามอัศวิน ซานโช่เป็นชาวนาที่ใฝ่ฝันจะได้แผ่นดินผืนใหญ่ติดแม่น้ำ จากดินแดนที่อัศวินดอน กีโยเต้ เข้าครอบครองโดยให้สัญญาว่าจะแบ่งให้เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ ออกปราบปรามยุคเข็ญของบ้านเมือง ซานโช่แม้จะโง่เขลาเบาปัญญาที่ยอมรับเอาคนบ้ามาเป็นเจ้านายและเชื่อในสัญญาลมๆแล้ว แต่กระนั้นซานโช่ก็ยังไม่ถึงขั้นบ้า ซานโช่ยังพอแยกแยะออกว่าอะไรเป็นโรงสี อะไรเป็นยักษ์สี่กร ซานโช่มักจะค่อยช่วยเหลือและตักเตือน ดอน กีโยเต้ ว่าสิ่งที่ดอน กีโยเต้ จินตนาการขึ้นเองนั้นแท้จริงแล้วมันคืออะไร ดอน กีโยเต้ ก็มักจะว่าซานโช่ถูกมนต์ดำของพ่อมดสะกดทำให้เห็นยักษ์สี่กรเป็นโรงสีไฟ การออกเดินทางเพื่อปราบยุคเข็ญของคนบ้าคนหนึ่ง กับคนโง่อีกคนหนึ่ง สร้างความปั่นป่วนไปทั่วตลอดเส้นทางการเดินทาง ทุกเรื่องที่อัศวินใหญ่และผู้ติดตามเข้าไปดำเนินการพิทักษ์คุณธรรม กลับเป็นการสร้างเรื่องที่ยุ่งยากมากยิ่งขึ้น ถูกด่าทอ ถูกก้อนหินขว้าง ถูกรุมยำทำร้ายร่างกาย ถูกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองตามล่า นานาประการ แต่การมุ่งมั่นที่จะเข้าต่อสู่เพื่อผดุงคุณธรรมของ ดอน กีโยเต้ ยังมั่นคงแน่วแน่ แต่ในที่สุดแล้วก็ต้องยอมแพ้สังขารกลับบ้านในสภาพสะบักสบอม จากการตรากตรำและถูกทำร้ายหนักๆหลายๆครั้งสังขารของคนสูงอายุอย่างคุณลุงก็ทนไม่ไหว กลับไปเสียชีวิตที่ลามานช่า อย่างน่าเวทนา ก่อนจะสิ้นชีวิตคุณลุงกล่าวยอมรับสภาพความเป็นจริงและความเป็นไปของโลก ว่าแท้ที่จริงแล้วอัศวินผู้พิทักษ์คุณธรรมนั้นเป็นจินตนาการของแกคนเดียว ไม่ได้มีอยู่จริง ยอมรับว่าซานโช่เป็นฝ่ายถูกและเสียใจที่ไม่สามารถหาแผ่นดินผื่นสวยๆที่ติดแม่น้ำให้ซานโช่ได้

วรรณกรรมเรื่องนี้เขียนขึ้นเสียดสีส่อเสียดได้อย่างคมคาย มีแง่มีมุมให้คิดมากมาย แต่ก็แฝงไปด้วยอารมณ์ขัน เมื่อขำกันเสร็จแล้ว อย่าลืมเอาเรื่องความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะสร้างคุณงามความดีของแก โดยไม่นำพาว่าท้ายที่สุดแล้วตัวเองจะถูกกระทำอย่างไรบ้าง ถามตัวเองสักสองคำถาม ๑.คุณลุงเป็นคนดีไหม ? ดีครับ ตลอดเส้นทางคุณลุง ไม่เคยปล่อยให้ความ อยุติธรรมลอยนวลผ่านเลยไปเปล่าๆคุณลุงเข้าไปร่วมการต่อสู้ด้วยทุกเหตุการณ์ ๒.คุณลุงกล้าหาญไหม ? กล้าหาญมากๆครับ เจอยักษ์สี่กรสูงเท่าตึกสี่ชั้นยืนแกว่งแขนอยู่ตรงหน้า คุณลุงยังไม่คิดหนี ถ้าเรามองแต่ขอบๆเปลือกว่าลุงแกบ้าที่ขี่ม้ากระโจนเข้าไปแทงโรงสี เราก็จะไม่เห็นถึงเจตนาสังหารยักษ์ร้ายสี่มือ เพื่อป้องป้องคนหมู่มากไว้ไม่ให้ยักษ์ไปทำอันตราย ทำไมเรามองข้ามผ่าน อุดมการณ์ ความแน่วแน่ มุ่งมั่น ที่จะสร้างความดีงามและความยุติธรรมให้ก่อเกิดขึ้นบนผื่นแผ่นดินของคุณลุง ดอน กีโยเต้ กับ สิงโตขี้ขลาด จึงเป็นมุมกลับของกันและกัน ความกล้าหาญเป็นสิ่งที่ดอน กีโยเต้มีอยู่มากมาย และใช้เสียจนตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อนไปทั่ว แต่สิ่งนี้สิงโตขี้ขลาดกลับขาดไป ส่วนพลังอำนาจอันเป็นสิ่งที่สิงโตมีแต่ไม่ยอมเอาออกมาใช้ ดอน กีโยเต้ กลับไม่มีเอาเสียเลย ปัญหาของประเทศไทยตอนนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าประชาชนมากมาย ต่างก็ล้วนต่างก็ตั้งตัวเป็น เป็นดอน กีโยเต้ นักปราบอธรรมสติเฟื่อง ไม่รู้อะไรเป็นโรงสี อะไรเป็นยักษ์ตัวจริง ไม่รู้กระทั่งอะไรถูกอะไรผิด อะไรชั่ว อะไรดี เชื่ออยู่อย่างเดียวเหนียวแน่นว่าฝ่ายตัว และ ตัวเองฝ่ายถูก ถ้าเรายังตั้งธงกันไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วว่า ฝ่ายเรา ถูก และดี คนอื่นผิดและชั่ว มันก็ไม่รู้จะหาจุดไหนมานังลงเริ่มต้นคุยกัน ถ้ายังหาไม่ได้ก็ยังต้องตีกันไปอีกนาน.

Leave a Reply